เริมที่ปาก เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อยในประชากรทั่วไป แม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ก็สามารถสร้างความรำคาญและความไม่สบายให้กับผู้ป่วยได้ไม่น้อย บทความนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเริมที่ปาก ตั้งแต่สาเหตุ อาการ การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงวิธีการป้องกัน
สาเหตุของเริมที่ปาก
เริมที่ปากเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus หรือ HSV) ซึ่งมีสองชนิดหลัก ได้แก่
- HSV-1 : เป็นสาเหตุหลักของเริมที่ปาก
- HSV-2 : เป็นสาเหตุหลักของเริมที่อวัยวะเพศ
การติดต่อ
ไวรัสนี้แพร่กระจายได้ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับบริเวณที่ติดเชื้อ เช่น
- การจูบ
- การใช้ช้อนส้อมหรือแก้วน้ำร่วมกัน
- การใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าเช็ดตัวร่วมกัน
- การสัมผัสกับน้ำลายของผู้ติดเชื้อ
อาการของ เริมที่ปาก
อาการของเริมที่ปากมักเกิดขึ้นเป็นระยะๆ โดยมีขั้นตอนดังนี้:
- ระยะก่อนเกิดตุ่ม
- รู้สึกคัน แสบร้อน หรือเสียวบริเวณริมฝีปาก
- อาจมีอาการปวดศีรษะ มีไข้ต่ำๆ หรือต่อมน้ำเหลืองบวม
- ระยะเกิดตุ่ม
- เกิดตุ่มน้ำใสเล็กๆ บริเวณริมฝีปากหรือรอบปาก
- ตุ่มน้ำอาจรวมกันเป็นตุ่มใหญ่
- ระยะตุ่มแตก
- ตุ่มน้ำแตกและกลายเป็นแผลเปิด
- เป็นระยะที่แผลมีความเจ็บปวดมากที่สุด
- เป็นระยะที่มีการแพร่เชื้อได้มากที่สุด
- ระยะหาย
- แผลเริ่มแห้งและสร้างสะเก็ด
- อาการเจ็บปวดเริ่มลดลง
- ระยะฟื้นฟู
- สะเก็ดหลุดออกและเผยให้เห็นผิวใหม่
- ใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์นับจากเริ่มมีอาการจนถึงหายสนิท
ปัจจัยกระตุ้น
ปัจจัยที่อาจกระตุ้นให้เกิดการกำเริบของเริมที่ปาก ได้แก่
- ความเครียด
- ความเหนื่อยล้า
- การพักผ่อนไม่เพียงพอ
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน (เช่น ช่วงมีประจำเดือน)
- โดนแสงแดดจัดเป็นเวลานาน
- อาหารบางชนิด (เช่น อาหารที่มีกรดสูง)
การวินิจฉัย
แพทย์สามารถวินิจฉัยเริมที่ปากได้จาก
- การตรวจร่างกาย: ดูลักษณะและตำแหน่งของแผล
- การซักประวัติ: สอบถามเกี่ยวกับอาการและปัจจัยกระตุ้น
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการ:
- การเพาะเชื้อจากตุ่มน้ำ
- การตรวจ PCR เพื่อหาสารพันธุกรรมของไวรัส
- การตรวจหาแอนติบอดีในเลือด
การป้องกัน เริมที่ปาก
การป้องกันที่ดีที่สุดคือการลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและการกำเริบ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส
- ไม่สัมผัสหรือจูบกับผู้ที่มีแผลเริมที่ปาก
- ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า แปรงสีฟัน
- รักษาสุขอนามัย
- ล้างมือบ่อยๆโดยเฉพาะหลังสัมผัสบริเวณที่เป็นแผล
- ทำความสะอาดของใช้ส่วนตัวอย่างสม่ำเสมอ
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- จัดการความเครียด
- ป้องกันแสงแดด
- ใช้ลิปบาล์มที่มีส่วนผสมของสารกันแดด
- สวมหมวกหรือใช้ร่มเมื่ออยู่กลางแจ้ง
- การใช้ยาป้องกัน
- สำหรับผู้ที่มีอาการบ่อยครั้ง แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านไวรัสแบบรับประทานเป็นประจำ เพื่อป้องกันการกำเริบ
การรักษา เริมที่ปาก
แม้ว่าจะไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่มีวิธีจัดการอาการและลดระยะเวลาการเกิดแผลได้ ดังนี้
- ยาต้านไวรัส
- ยาทา เช่น อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) หรือ เพนซิโคลเวียร์ (Penciclovir)
- ยารับประทาน เช่น วาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) หรือ ฟามไซโคลเวียร์ (Famciclovir)
- การบรรเทาอาการ
- ยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด เช่น พาราเซตามอล หรือ ไอบูโพรเฟน
- ยาชาเฉพาะที่ เช่น เบนโซเคน (Benzocaine) เพื่อลดอาการเจ็บ
- ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมและปวด
- ใช้ลิปบาล์มที่มีสารกันแดดเพื่อป้องกันการแตกของแผล
- การดูแลตนเอง
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือแกะเกาแผล
- รักษาความสะอาดของแผล โดยล้างด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ
- ใช้ผ้าสะอาดซับแผลให้แห้ง ไม่ถูแรงๆ
- รับประทานอาหารอ่อนๆ และดื่มน้ำมากๆ
- การรักษาแบบทางเลือก:
- สารสกัดจากใบบัวบก (Centella asiatica) อาจช่วยเร่งการหายของแผล
- น้ำมันหอมระเหยบางชนิด เช่น ทีทรี (Tea tree oil) อาจมีฤทธิ์ต้านไวรัส
- อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้การรักษาทางเลือกใดๆ
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
เพื่อให้ข้อมูลครบถ้วนยิ่งขึ้น เรามาดูคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเริมที่ปากกัน
คำถาม | คำตอบ |
เริมที่ปากสามารถหายขาดได้หรือไม่ ? | ไม่สามารถหายขาดได้ เนื่องจากไวรัสจะอยู่ในร่างกายไปตลอด แต่สามารถควบคุมอาการ ลดความถี่ของการกำเริบได้ |
เริมที่ปากติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่ ? | ได้ โดยเฉพาะในกรณีของการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดเริมที่อวัยวะเพศได้ |
มีวัคซีนป้องกันเริมที่ปากหรือไม่ ? | ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันเริมที่ปากที่ได้รับการรับรอง แต่มีการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง |
อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
เริมที่ปาก แม้ว่าจะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ก็สามารถสร้างความไม่สบายและส่งผลกระทบทางจิตใจได้ การเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ และวิธีการจัดการโรคนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการและลดผลกระทบต่อชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น